in , , ,

ตำนาน 20 ปี! ย้อนชมข้อมูล iPod ตั้งแต่รุ่นแรกApple เปิดตัว

ก่อนหน้านี้ Apple ได้ประกาศหยุดผลิต iPod Touch และจะไม่ผลิตต่อแล้ว เรียกได้ว่าเป็นตำนานของ Apple เลยก็ว่าได้ วันนี้ทีมงานจะพาชม iPod ตั้งแต่รุ่นแรกว่ามีกี่รุ่น และแต่ละรุ่นมีอะไรบ้าง ไปชมกันเลย

ย้อนชมข้อมูล iPod ตั้งแต่รุ่นแรกที่ Apple เปิดตัว

Apple เปิดตัว iPod ออกมาหลายรุ่น ได้แก่ iPod Classic, iPod nano, iPod mini และ iPod shuffle แต่ iPod ที่ Apple ยังเปิดจำหน่ายอยู่ ณ ตอนนี้ คือ iPod Touch รุ่นที่ 7 ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุด โดยวางจำหน่ายอยู่ที่ Apple Store และตัวแทนจำหน่าย จนกว่าสินค้า และล่าสุด Apple ก็ประกาศหยุดการผลิตแล้ว ปิดตำนาน iPod ที่ยาวนานกว่า 20 ปี อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่

iPod Classic

iPod (รุ่นที่ 1)

เปิดขายวันที่ 23 ตุลาคม ปี 2001 เป็น iPod รุ่นแรกที่ Apple เปิดตัวที่สามารถเก็บเพลงได้ 1,000 เพลง ใช้การควบคุมแบบ Scroll Wheel มี 2 ความจุเลือก คือ 5GB และ 10GB

iPod (รุ่นที่ 2)

เปิดตัววันที่ 17 กรกฎาคม ปี 2002 เปลี่ยนจากระบบ Scroll Wheel มาใช้เป็นระบบ Touch Wheel แทน ซึ่งก็จะคล้ายกันกับ iPod (Scroll Wheel) แต่ล้อสัมผัสจะไม่หมุน และรุ่นนี้จะมีฝาครอบพอร์ต FireWire เปิดตัวมา 2 ความจุ คือ 10 และ 20GB

iPod (รุ่นที่ 3)

เปิดตัววันที่ 28 เมษายน ปี 2003 เป็นรุ่นที่บางพิเศษ และมีช่องต่อ Dock ที่ด้านล่างหรือแท่นสำหรับชาร์จและโอนย้ายไฟล์ ใช้ระบบ Touch Wheel และย้ายปุ่มรอบ Wheel มาเรียงใต้จอแทน เปิดตัวมา 5 ความจุ ได้แก่ 10GB, 15GB, 20GB, 30GB และ 40GB

iPod (รุ่นที่ 4)

เปิดตัววันที่ 19 กรกฎาคม ปี 2004 เปลี่ยนมาใช้การควบคุมแบบ Click Wheel ตัวเครื่องมีขนาดเล็กลงกว่ารุ่นก่อนหน้า สวิตช์ Hold อยู่ด้านขวาบน จอแสดงผลสีขาวดำ มีวางจำหน่าย 2 รุ่นความจุ คือ 20GB และ 40GB ซึ่งปัจจุบัน 40GB เลิกผลิตแล้ว

iPod Photo

วางขายวันที่ 28 ตุลาคม ปี 2004 เป็นรุ่นที่มีจอสี และสามารถแสดงรูปภาพ JPEG, GIF, PNG, TIFF และ BMP ได้ มีความจุ 30, 40 และ 60GB โดย iPod photo รุ่นต่างๆ มีการทำงานและหน้าตาเหมือนกับ iPod พร้อมจอสี และใช้การควบคุมแบบ  Click Wheel

iPod พร้อมจอสี

วางขาย มิถุนายน 2005 ปัจจุบัน iPod และ iPod photo รวมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว โดย iPod สีขาวทุกรุ่นจะมีจอแสดงผลแบบครบทุกสี โดยใช้ตัวควบคุมแบบ  Click Wheel เหมาะสำหรับการดูภาพอัลบั้มและเล่นสไลด์โชว์ มีความจุ 20 และ 60GB

iPod Special Edition U2

วางขายวันที่ 28 ตุลาคม ปี 2004 เป็น iPod รุ่นมาตรฐาน ที่มีข้อแตกต่างตรงที่วัสดุภายนอกเป็นพลาสติกสีดำ, Click Wheel สีแดง มีลายเซ็นของสมาชิกวง U2 สลักอยู่ด้านหลังด้วยคำว่า “iPod Special Edition U2” วางจำหน่าย 2 รุ่นความจุ คือ 20 และ 30 GB

iPod (รุ่นที่ 5)

เปิดตัววันที่ 12 ตุลาคม ปี 2005 รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า iPod พร้อมวิดีโอ เป็น iPod ที่ใช้ฮาร์ดไดรฟ์ จอแสดงผลสี หน้าจอกว้างขึ้น ควบคุมผ่าน Click Wheel สามารถดูรูปภาพ หรือเล่นไฟล์วิดีโอ mp4 ได้ ใช้ USB ในการซิงค์ข้อมูล มีความจุ 30 และ 60GB เปิดตัวออกมา 2 สีด้วยกัน คือ สีดำ, ขาว

ต่อมาในปี 2006 Apple ก็ได้เปิดตัว iPod รุ่นที่ 5 ออกมา พร้อมกับความจุที่เพิ่มขึ้น คือ 80GB สเปคหรือการใช้งานก็เหมือนกับรุ่นก่อนหน้าเลย

iPod Classic (รุ่นที่ 6)

เปิดตัววันที่ 5 กันยายน ปี 2007 มีขนาดความจุ 80GB และ 160GB จุดเด่นของรุ่นนี้ คือ เริ่มใช้ชื่อเรียก iPod ว่า iPod Classic เพราะมีการปรับเปลี่ยนวัสดุของตัว iPod เปลี่ยนจากพลาสติกเป็น ลูมิเนียมชุบผิว ตัวเครื่องสแตนเลสขัดเงา และมีการปรับปรุงอีกครั้งใน เดือนกันยายน ปี 2009 ซึ่งมีจำหน่ายเพียงรุ่นเดียวคือ รุ่น 160GB เท่านั้น

iPod mini

iPod mini (รุ่นที่ 1)

เปิดตัววันที่ 6 มกราคม ปี 2004 มีขนาดเล็กกว่า iPod Classic ความจุ 4GB และเป็น iPod รุ่นแรกที่มี Click Wheel วางขาย 5 สี คือ ทอง, เงิน, ฟ้า, เขียว และชมพู ซึ่งสีที่ขายดีที่สุดคือ สีเงิน และตามมาด้วยสีฟ้า

iPod mini (รุ่นที่ 2)

เปิดตัว กุมภาพันธ์ ปี 2005 จุดเด่นของรุ่นนี้จะอยู่ที่สีข้อความบน Click Wheel จะตรงกับสีของตัวเครื่อง มีขายสองรุ่นควมาจุ คือ 4GB และ 6GB ด้านสเปคภายในมีการปรับปรุงแบตเตอรี่ให้เพิ่มอายุการใช้งานเป็น 18 ชั่วโมง และเลิกผลิตสีทองไปแล้ว รุ่นนี้จึงเหลือเพียง 4 ได้แก่ สีเงิน, ฟ้า, เขียว และชมพู

iPod Shuffle

iPod Shuffle (รุ่นที่ 1)

เปิดตัววันที่ 11 มกราคม ปี 2005 มีขนาดเล็กกว่า iPod mini และไม่มีจอแสดงผล มีไฟแสดงสถานะ LED ที่ด้านหน้าและด้านหลัง ใช้หน่วยความจำแบบแฟลชแทนฮาร์ดดิสก์ สามารถเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ได้ทันที ผ่านพอร์ต USB ในตัว มีขาย 2 คาวมจุ คือ 512MB และ 1GB

โดยจุดแตกต่างของรุ่นนี้ คือ ไม่มีจอภาพและปุ่มควบคุมการเล่น ใช้การควบคุมผ่าน Control Pad ดังนั้นจึงเล่นเพลงได้ตามลำดับที่กำหนดมาล่วงหน้าจากคอมพิวเตอร์ หรือเล่นแบบสุ่ม (Shuffle) เท่านั้น จึงกลายเป็นที่มาของชื่อรุ่นนั่นเอง

iPod Shuffle (รุ่นที่ 2)

เปิดตัววันที่ 12 กันยายน ปี 2006 ผลิตด้วย Aluminium Anodizing มีขนาดเล็กกว่า iPod shuffle รุ่นแรก และไม่มีขั้วต่อ USB ใช้การควบคุมผ่าน Control Pad มีให้เลือก 5 สี และขาย 2 ความจุ คือ 1GB และ 2GB

iPod Shuffle (รุ่นที่ 3)

เปิดตัววันที่ 11 มีนาคม ปี 2009 มีสวิตช์แบบปรับได้ 3 ตำแหน่ง มีพอร์ตหูฟังที่เชื่อมต่อกับพอร์ต USB ของคอมพิวเตอร์ได้ โดยจะมีคลิปหนีบที่คล้ายกับรุ่นที่ 2 แต่รุ่นที่ 3 นี้มีขนาดเล็กกว่ารุ่นก่อนหน้าและมีไฟแสดงสถานะหนึ่งดวง รุ่นก่อนมีสองดวง ควบคุมการทำงานด้วยหูฟัง Apple พร้อมรีโมท

ต่อมาในช่วงปลายปี 2009 Apple ก็ได้เปิดตัว iPod Shuffle (รุ่นที่ 3) สีใหม่เข้ามา ซึ่งมีวางจำหน่าย 5 สี และเพิ่มความจุ 2GB เข้ามาด้วย

iPod Shuffle (รุ่นที่ 4)

เปิดตัวเมื่อ 1 กันยายน ปี 2010 ในงาน Apple’s fall 2010 โดยเปลี่ยนดีไซน์กลับมาเป็นปุ่มควบคุม เหมือนกัน iPod Classic รุ่นแรก มีทั้งหมด 5 สี และเพิ่มจำนวนภาษาที่รองรับในฟังก์ชัน Voice Over รวมถึงภาษาไทย มีความจุเดียว คือ 2GB หลังจากนั้น  ปี 2012 Apple ได้เปลี่ยนสีของ iPod Shuffle (รุ่นที่ 4) ให้เข้ากับสีของ iPod nano และ iPod Touch ซึ่งมีทั้งหมด 7 สี

และถัดมาในช่วงกลางปี 2015 Apple ก็ได้เปิดตัว iPod Shuffle (รุ่นที่ 4) สีใหม่เพิ่มเข้ามาอีก ซึ่งรอบนี้ก็มีเวอร์ชั่น (PRODUCT)RED เพิ่มเข้ามาด้วย

iPod nano

iPod nano (รุ่นที่ 1)

เปิดตัวเมื่อวันที่ 7 กันยายน ปี 2005 มีขนาดเล็กกว่า iPod mini แสดงผลหน้าจอสี และควบคุมด้วย Click Wheel มีให้เลือก 2 สี คือ สีขาว, ดำ และมีความจุ 3 ขนาดคือ 1GB, 2GB และ 4GB ฃหน่วยความจำจะเป็นแบบแฟลชแทนฮาร์ดไดรฟ์ สามารถซิงค์เพลงและรูปภาพด้วยสาย USB 2.0 ไม่ใช่ FireWire

iPod nano (รุ่นที่ 2)

เปิดตัวเมื่อวันที่ 12 กันยายน ปี 2006 ผลิตด้วยวัสดุ Aluminium Anodizing มีให้เลือก 6 สี คือ สีเงิน, ชมพู, เขียว, ฟ้า, และสีดำ มีความจุให้เลือก 3 ขนาดคือ 2GB ที่มีเฉพาะสีเงิน, 4GB และ 8GB มีเฉพาะสีดำ สามารถฟังเพลงได้นาน 24 ชั่วโมง และฟังได้นาน 5 ชั่วโมงเมื่อเปิดเพลงพร้อมกับสไลต์โชว์

iPod nano (PRODUCT) RED Special Edition เป็น iPod nano (รุ่นที่ 2) ที่มีวางจำหน่ายในสีแดงและมาพร้อมความจุของไดรฟ์ 4GB และ 8GB โดยเงินที่ได้จากการขาย iPod nano (PRODUCT) RED แต่ละเครื่องจะนำเข้าสู่กองทุนโลกเพื่อต่อสู้โรคเอดส์ในแอฟริกาโดยตรง

iPod nano (รุ่นที่ 3)

เปิดตัวเมื่อวันที่ 5 กันยายน ปี 2007 ขนาดของจอเพิ่มเป็น 2 นิ้ว ควบคุมการทำงานด้วยปุ่ม Click Wheel มีให้เลือกเพียง 2 ขนาดความจุคือ 4GB และ 8GB และวางจำหน่ายทั้งหมด 5 สี

iPod nano (รุ่นที่ 4)

เปิดตัวเมื่อ 9 กันยายน ปี 2008 ดีไซน์ตัวเครื่องจะมีหน้าจอสูงกว่ารุ่นก่อนหน้า พื้นผิวโค้ง  ทรงรูปไข่เมื่อมองจากด้านบนหรือด้านล่าง มีอุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวที่ใช้คุณสมบัติเขย่า ควบคุมการทำงานด้วยปุ่ม Click Wheel และมีสีให้เลือกมากถึง 9 สี และมีให้เลือก 2 ขนาดความจุ คือ 8GB และ 16GB

iPod nano (รุ่นที่ 5)

เปิดตัวเมื่อ 9 กันยายน ปี 2009 ตัวหน้าจอสูงกว่า เมื่อเทียบกับ iPod nano (รุ่นที่ 4) เคลือบผิวด้วยอะลูมิเนียมชุบผิวขัดเงา มีกล้องและไมโครโฟนรวมอยู่ที่ด้านหลังของอุปกรณ์ และสามารถฟังวิทยุได้โดยไม่ต้องมีอุปกรณ์เสริม, ถ่ายรูปและบันทึกวิดีโอได้ ควบคุมการทำงานด้วยปุ่ม Click Wheel และมีสีให้เลือกมากถึง 9 สี และมีให้เลือก 2 ขนาดความจุ คือ 8GB และ 16GB

iPod nano (รุ่นที่ 6)

เปิดตัวเมื่อ 1 กันยายน ปี 2010 ในงาน Apple’s fall 2010 event โดยในรุ่นนี้ได้เพิ่มจอสัมผัสรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสแบบ Multi Touch เข้าไป แล้วตัดปุ่มควบคุมแบบเก่าออกมีสีให้เลือก 6 สี และมีให้เลือก 2 ความจุ คือ 8GB และ 16GB

iPod nano (รุ่นที่ 7)

เปิดตัวเมื่อ 20 กันยายน ปี 2012 Apple ได้ปรับเปลี่ยนสีสันและรูปทรงให้ iPod nano ใหม่ โดยมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า คล้ายบัตรเครดิต พร้อมกับความบางที่มากกว่ารุ่นก่อน ๆ และมาพร้อมกับเทคโนโลยีบลูทูธ 4.0 มีแค่ความจุเดียว คือ 16GB มีวางจำหน่ายใน 8 สี

ต่อมาช่วงกลางปี 2015 Apple ก็ได้เปิดตัว iPod nano (รุ่นที่ 7) ท่ีมีเวอร์ชั่น (PRODUCT)RED เพิ่มเข้ามาด้วย แต่สเปคภายในยังคงเดิม

iPod touch

iPod touch (รุ่นที่ 1)

เปิดตัวเมื่อ 5 กันยายน ปี 2007 เป็น iPod รุ่นแรกที่มาพร้อม Wi-Fi สามารถท่องเว็บ Safari หรือดู YouTube ได้ และจอแสดงผล Muiti-Touch ที่คล้ายกับ iPhone มีความจุ 3 รุ่น ได้แก่ 8 GB, 16 GB และ 32 GB ด้วยจุดเด่นที่สามารถเชื่อมต่อ Wi-Fi ได้จึงทำให้สามารถดาวน์โหลดเพลงผ่าน iTunes ได้ด้วย

 

iPod touch (รุ่นที่ 2)

เปิดตัวเมื่อ 9 กันยายน ปี 2008 มาพร้อมกับฟังก์ชัน Nike+ ที่ปุ่มปรับระดับเสียง และลำโพงในตัวถูกเพิ่มเข้ามาในรุ่นนี้ iPod touch (รุ่นที่ 2) มีจอแสดงผล Multi-Touch หน้าจอกว้าง 3.5 นิ้ว และมี 3 รุ่นความจุ ได้แก่ 8 GB, 16 GB และ 32 GB

สามารถแยก iPod touch (รุ่นที่ 2) ออกจากรุ่นก่อนหน้าได้โดยดูจากการฝาปิดเสาสัญญาณรูปวงรีที่มุมซ้ายบนของด้านหลังเครื่อง

iPod touch (รุ่นที่ 3)

เปิดตัวเมื่อ 9 กันยายน ปี 2009 โดยรุ่นนี้ได้เพิ่มฟีเจอร์บางส่วนจาก iPhone 3GS เข้ามา และเพิ่มฟีเจอร์การสั่งการด้วยเสียงเข้ามาด้วย iPod touch (รุ่นที่ 3) มีจอแสดงผล Multi-Touch หน้าจอกว้าง 3.5 นิ้ว มี 2 รุ่นความจุ ได้แก่ 32GB และ 64GB

สำหรับตัวดีไซน์ของ iPod touch (รุ่นที่ 3) และ iPod touch (รุ่นที่ 2) ค่อนข้างที่จะเหมือนกันแทบทั้งหมด ซึ่งเราสามารถแยกรุ่นของอุปกรณ์ได้โดยดูหมายเลขรุ่นในข้อความที่อยู่ใต้ลายสลักด้านหลังเครื่อง

iPod touch (รุ่นที่ 4)

เปิดตัวเมื่อ 1 กันยายน ปี 2010 ในงาน Apple’s fall 2010 event โดยปรับปรุงตัวเครื่องให้มีขนาดบางลง เพิ่มกล้อง 2 ตัวสำหรับ FaceTime และอัดวิดีโอที่ความละเอียด HD และมาพร้อมกับชิป A4 หน้าจอเป็นแบบ Retina ที่มีความละเอียดมากกว่าเดิม เปิดจำหน่ายแค่สีดำ และเพิ่มสีขาวภายหลังในเดือนตุลาคม 2011 ซึ่งมีราคาถูกลงกว่าด้วย

iPod touch (รุ่นที่ 5)

เปิดตัว 20 กันยายน ปี 2012 หลังจากเปิด iPhone 5 แล้ว iPod Touch ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนด้วยเช่นกัน โดยเปลี่ยนขนาดหน้าจอเป็น 4 นิ้ว เท่ากับ iPhone 5 มีกล้อง iSight และกล้อง FaceTime HD มีการเพิ่มความคมชัดของกล้อง ปรับดีไซน์และสีสันมากขึ้น ลูป iPod touch จะมาพร้อมกับรุ่นความจุ 32 GB และ 64 GB มีจำหน่าย 5 สี

ต่อมาช่วงกลางปี 2013 Apple เปิดตัว iPod touch (รุ่นที่ 5) เพิ่มความจุ 16GB เข้า แต่มีแค่เฉพาะสีเงินเท่านั้น

iPod touch (รุ่นที่ 6)

เปิดตัว ปี 2015 มาพร้อมชิป A8 ซึ่งเป็นชิปตัวเดียวกับที่ใช้ใน iPhone 6 กล้อง iSight และกล้อง FaceTime HD มีดีไซน์เหมือน iPod (รุ่นที่ 5) แต่นำตัวคล้องสายคล้องข้อมือออก ประสิทธิภาพการประมวลผลเร็วขึ้น และ iOS 10 ที่ดีกว่าเดิม มีจำหน่าย 5 สี รวมถึงเวอร์ชั่น (PRODUCT)RED ด้วย

iPod touch (รุ่นที่ 7)

เปิดตัว ปี 2019 มาพร้อมกล้องหลังความละเอียด 8 MP และกล้อง FaceTime HD ควบคุมหน้าจอแบบ Multi-Touch มีทั้งหมด 3 รุ่นความจุ ได้แก่ 32GB 128GB และ 256GB มีจำหน่าย 5 สี รวมถึงเวอร์ชั่น (PRODUCT)RED ด้วย

และนี่ก็เป็น iPod ทั้งหมด 4 รุ่น ซึ่งแต่ละรุ่นก็มีหลากหลายแบบตามการพัฒนาและการปรับปรุงของ Apple ในแต่ละปี แต่ถึงอย่างไร ณ ตอนนี้ Apple ก็ได้ประกาศหยุดการผลิตสำหรับ iPod Touch รุ่นที่ 7 ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดแล้ว เหลือไว้เพียงจิตวิญญาณของ iPod ที่จะยังคงอยู่ในทุกผลิตภัณฑ์ของ Apple ผ่านบริการ Apple Music บน iPhone, iPad, Mac, Apple Watch, HomePod, Apple TV นั่นเอง

ที่มา : Apple Support, wikipedia

ความคิดเห็น - Like เพจ iPhoneMod.net

เขียนโดย Pornpimol Kulab

Faculty of Mass Communication,
Chiangmai University