ก่อนการเปิดตัว iOS 14 และ iPadOS ในงาน WWDC ที่จะถึงนี้ เรามาย้อนชม Timeline จุดเด่นที่สำคัญของแต่ละ iOS ตั้งแต่แรกมาจนถึง iOS 13 กันหน่อยครับ ว่าระบบ iOS นั้นมีการเปลี่ยนแปลงแค่ไหนบ้าง?
ย้อนชม Timeline จุดเด่นที่สำคัญของแต่ละ iOS (อัปเดตถึง iOS 13)
iPhoneOS 1

แรกเริ่มนั้น Apple ได้ใช้ชื่อระบบปฏิบัติการของตัวเองว่า “iPhoneOS 1” ซึ่งถือว่าเป็นระบบปฏิบัติการแรกอย่างเป็นทางการของ Apple ที่เปิดตัวออกมาในวันที่ 29 มิถุนายน 2007 บน iPhone รุ่นแรก ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์เด่นที่เป็นการปฏิวัติวงการมือถือไปอย่างสิ้นเชิง ได้แก่
- Visual Voicemail – แอปข้อความหรือบริการรับ-ส่งข้อความจาก Apple
 - Multitouch Interface – ระบบทัชกรีนบนสมาร์ตโฟนรุ่นแรก
 - Safari Browser – เปิดใช้เบราว์เซอร์ใหม่ที่มีชื่อว่า “Safari” ของ Apple โดยเฉพาะ
 - Music App – แอปพลิเคชันเครื่องเล่นเพลงบน iPhone
 - First on iPod Touch – เป็นระบบปฏิบัติการแรกที่ใช้บน iPod Touch (Gen 1) วางจำหน่ายในปี 2007
 
iPhoneOS 2.0

หลังจากที่เปิดตัว iPhone ออกมาและเริ่มใช้ระบบปฏิบัติการ iOS จนกลายเป็นที่นิยมอย่างมาก หลังจากนั้น 1 ปี Apple จึงได้ทำการอัปเดตและปล่อยอัปเดตเวอร์ชันที่ 2 ออกมาในวันที่ 11 กรกฎาคม 2008 พร้อมกับเปิดตัว iPhone 3G และจุดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญก็คือ
- App Store – Apple เริ่มสนับสนุนแอปและเกมแท้จากนักพัฒนาบุคคลที่สาม โดยการเปิดบริการที่มีชื่อว่า “App Store” เพื่อให้นักพัฒนาเหล่านั้นสามารถพัฒนาแอปและเกมพร้อมกับนำมาลงบนระบบ iOS ได้ โดยตอนนั้นมีประมาณ 500 แอป
 - Podcast – เริ่มสนับสนุนหรือเปิดให้บริการ Podcast บน iPhone
 - Improved Maps App – สนับสนุนระบบการขนส่งสาธารณะและให้บริการเส้นทางเดินเท้าในแผนที่
 
iPhoneOS 3.0

Apple เปิดตัว iPhone 3GS พร้อมปล่อยอัปเดต iPhoneOS 3.0 ในวันที่ 17 มิถุนายน 2009 ที่มาพร้อมคุณสมบัติใหม่ที่สำคัญ ได้แก่
- Copy and Paste – จุดเริ่มต้นของการคัดลอกและวางข้อความได้บน iPhone
 - Spotlight Search – เพิ่มการค้นหาสิ่งต่างๆ บน iPhone ด้วยแถบค้นหาที่มีชื่อว่า “Spotlight”
 - Recording Videos – เพิ่มความสามารถให้กล้องบน iPhone ให้บันทึกวิดีโอได้
 - First on iPad – เป็นระบบปฏิบัติการแรกที่ใช้บน iPad (Gen 1) วางจำหน่ายในปี 2010
 
iOS 4

Apple ได้ปล่อยอัปเดต iOS 4 ในวันที่ 22 มิถุนายน 2010 ที่มีการปรับเปลี่ยนชื่อระบบปฏิบัติการของตัวเองใหม่ โดยตัดคำว่า iPhone ออกไปและใช้คำว่า “iOS” แทนเรื่อยมา เพื่อให้ใช้ได้ทั้งใน iPhone, iPad และ iPod Touch พร้อมกับเพิ่มฟีเจอร์ที่สำคัญ ดังนี้
- FaceTime – เริ่มใช้การวิดีโอคอลระหว่าง iPhone ด้วยกันผ่านแอปที่มีชื่อว่า “FaceTime”
 - Multitasking – เพิ่มการใช้งานฟังก์ชันมัลติทาสก์
 - Organizing apps into folders – สามารถสร้างโฟลเดอร์เพื่อจัดกรุ๊บไอคอนแอปต่างๆ ได้แล้ว
 - AirPlay – เพิ่มเทคโนโลยีการส่งสัญญาณภาพและเสียงแบบไร้สาย
 - AirPrint – เพิ่มเทคโนโลยีการสั่งงานปริ้นเตอร์แบบไร้สาย
 - iBooks – เพิ่มแอป iBooks เพื่อเปิดให้บริการคลังหนังสือออนไลน์
 - Personal Hotspot – เพิ่มคุณสมบัติการแชร์ Wi-Fi หรือแชร์สัญญาณอินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรกระหว่างอุปกรณ์ iPhone ด้วยกัน
 
iOS 5

Apple เล็งเห็นความสำคัญของแนวโน้มการเติบโตของระบบไร้สาย (Wirelessness) และระบบ Cloud Computing จึงได้พัฒนาแพลตฟอร์มใหม่และเพิ่มฟีเจอร์ลงไปใน iOS 5 ที่ปล่อยอัปเดตมาในวันที่ 12 ตุลาคม 2011 ได้แก่
- iCloud – เปิดตัวบริการ iCloud
 - Wireless syncing and activation – สนับสนุนคุณสมบัติการส่งข้อมูลแบบไร้สายผ่านเครือข่าย สัญญาณ Wi-Fi เดียวกัน โดยจะซิงก์กับแอปที่มีชื่อว่า “iTunes” (ที่ก่อนหน้านี้ต้องมีการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์)
 - Siri – เปิดตัว Siri ครั้งแรก
 - iMessage – เปิดตัวแอป iMessage สำหรับรับ-ส่งข้อความ
 - Notification Center – เพิ่มการแจ้งเตือนผ่าน Notification Center
 
iOS 6

iOS 6 ปล่อยอัปเดตมาในวันที่ 19 กันยายน 2012 พร้อมกับเซอร์ไพร์วงการสมาร์ตโฟนครั้งใหญ่ ด้วยการเปิดตัว Apple Maps แอปแผนที่ของตัวเอง เพื่อเข้าแข่งขันกับ Google ในขณะนั้น
- Apple Maps – เปิดตัวแอปแผนที่อย่างเป็นทางการของ Apple
 - Do Not Disturb – เพิ่มคุณสมบัติ ‘ห้ามรบกวน’ ในช่วงเวลาสำคัญต่างๆ เช่น ประชุม, ตอนนอน ฯลฯ
 - Passbook (now Wallet) – เพิ่มแอปวอลเล็ทสำหรับจัดการพาสปอร์ต
 
iOS 7

iOS 7 ปล่อยอัปเดตออกมาในวันที่ 18 กันยายน 2013 พร้อมกับเปิดตัวใน iPhone 5S ที่ในเวอร์ชันนี้มีการปรับปรุงเรื่องการดีไซน์หน้าจอใหม่ให้ดูทันสมัยมากขึ้น ตัวอักษรเล็กลง ซึ่งอาจจะขัดใจผู้ใช้หลายๆ คน แต่นี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ดังนี้
- Activation Lock – เริ่มใช้ Apple ID และรหัสผ่านในการล็อกอินเพื่อเข้าถึง iPhone หรือ iCloud แถมยังช่วยป้องกันการขโมย iPhone ไปขายมือสองได้อีกด้วย
 - AirDrop – เพิ่มเทคโนโลยีการส่งข้อมูลแบบไร้สาย สำหรับแชร์และรับรูปภาพ เอกสาร และอีกมากมายระหว่างอุปกรณ์ iOS ด้วยกัน
 - CarPlay – เปิดตัว CarPlay สำหรับรถยนต์รุ่นที่รองรับ
 - Control Center – เพิ่มฟังชัน Control Center ใหม่ สำหรับเข้าถึงคุณสมบัติพื้นฐานที่สำคัญต่างๆ
 - Touch ID – เริ่มใช้ระบบความปลอดภัยด้วยการปลดล็อกลายนิ้วมือ iPhone ผ่านปุ่ม Home ครั้งแรก
 
iOS 8

iOS 8 ปล่อยอัปเดตออกมาในวันที่ 17 กันยายน 2014 เพื่อปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพบริการและแอปต่างๆ ให้ดีขึ้นจาก iOS ก่อนหน้าที่ได้ปรับเปลี่ยนไปอย่างมาก และยังได้เพิ่มคุณสมบัติใหม่เข้ามาเพิ่มเติม ได้แก่
- Apple Music – เพิ่มบริการ Apple Music (แบบรายเดือน/ปี) สำหรับเข้าถึงเพลงและศิลปินชื่อดังมากมาย
 - Apple Pay – เพิ่มบริการของทาง Apple ที่ทำให้ผู้ใช้งานนั้นไม่ต้องพกบัตรเครดิต หรือเดบิตอีกต่อไป เพียงใช้ iPhone ในการเเตะจ่ายสินค้าจากร้านค้าต่างๆ ที่รองรับ Apple Pay หรือเครื่องรูดบัตรที่มีสัญลักษณ์ NFC
 - iCloud Drive – เพิ่ม iCloud Drive สำหรับใช้จัดการเอกสารและข้อมูลต่างๆ บน iCloud (เป็นส่วนหนึ่งของบริการ iCloud)
 - Handoff – เพิ่มคุณสมบัติ Handoff สำหรับสลับข้ามการใช้งานระหว่างอุปกรณ์ Apple
 - Family Sharing – เพิ่มคุณบัติการแชร์กันในครอบครัว
 - Third-party keyboards – เริ่มเปิดให้ใช้งานคีย์บอร์ดจากแอปบุคคลที่สามได้แล้ว
 - HomeKit – เปิดตัว HomeKit สำหรับสั่งการอุปกรณ์ภายในบ้านด้วยเสียง
 
iOS 9

iOS 9 ปล่อยอัปเดตออกมาในวันที่ 16 กันยายน 2015 พร้อมปรับเปลี่ยนหน้าจอในส่วนการใช้งานของผู้ใช้ใหม่ปรับปรุงความเสถียร และเพิ่มคุณสมบัติใหม่ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างรากฐานไปยัง iOS 10 และ 11 ในอนาคต
- Night Shift – เพิ่มคุณสมบัติ Night Shift ปรับความสว่างของหน้าจอในเวลากลางคืนให้ถนอมสายตา
 - Low Power Mode – เพิ่มโหมดพลังงานต่ำ เพื่อลดการใช้งานพลังงานของเครื่องเมื่อแบตเตอรี่เหลือน้อย
 - Public beta program – Apple เริ่มเปิดให้นักพัฒนาสามารถเข้ามาใช้งานและทดสอบระบบ iOS ที่กำลังจะเปิดตัวใหม่ก่อนปล่อยให้ผู้ใช้ทั่วไปได้ใช้งานจริง ซึ่งต้องลงทะเบียนกับทาง Apple ก่อน
 - iPad Pro – iOS9 มาพร้อมการเปิดตัว iPad Pro ร่วมกับ Apple Pencil ครั้งแรก
 
iOS 10

iOS 10 ปล่อยอัปเดตออกมาในวันที่ 13 กันยายน 2016 ที่มีวัตถุประสงค์หลัก คือ การทำงานร่วมกัน (Interoperability) และการปรับแต่ง (Customization) ช่วยให้อุปกรณ์ของ Apple สามารถเชื่อมต่อและสื่อสารกันได้ และยังเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้งาน 2 แอปได้พร้อมๆ กันโดยไม่ต้องแอปไปเข้าอีกแอป
- iMessage Apps – แอป iMessage เพิ่มคุณสมบัติ
 - Delete built-in Apps – Apple เปิดให้ผู้ใช้สามารถลบแอปพื้นฐานบางแอปที่ติดมากับเครื่องได้แล้ว
 - Remove Slide-to-Unlock – Apple ยกเลิกการใช้ Slide-to-Unlock ก่อนเข้าถึงรายการแอปแล้ว
 
iOS 11

iOS 11 ปล่อยอัปเดตออกมาในวันที่ 19 กันยายน 2017 ที่มาพร้อมการดีไซน์และการปรับปรุงครั้งใหญ่ แต่สิ่งสำคัญที่มาพร้อมกับ iOS 11 นี้ก็คือ ระบบ iOS ที่ถูกออกแบบมาให้ทำงานได้ดีขึ้นใน iPad โดยไฮไลท์หลักๆ ของ iOS 11 มีดังนี้
- ARKit – เปิดตัว ARKit เทคโนโลยี AR ที่จะนำมาใช้ทำงานร่วมกับแอปและเกมได้ในอนาคต
 - AirPlay 2 – เปิดตัว AirPlay 2 ที่เพิ่มระบบการเชื่อมต่อแบบ Multi-Room เข้ามา ช่วยให้อุปกรณ์ของ Apple สามารถเชื่อมต่อกันได้มากกว่า 1 ตัว
 - Re-design App Store – ปรับการออกแบบ App Store ใหม่ทั้งหมด
 - Re-design Control Center – ปรับ Control Center ใหม่ทั้งหมด
 - New Siri – ปรับการออกแบบ Siri ใหม่ทั้งหมด
 - Files App – เพิ่มแอป Files ใหม่ สำหรับจัดการเอกสารทั้งหมดภายในเครื่อง
 - Major enhancements on iPad – ระบบ iOS ที่ถูกออกแบบมาให้ทำงานบน iPad ได้ดี ลากและวางรูปภาพหรือไฟล์ได้, แยกหน้าจอได้ ฯลฯ
 - Remove Touch ID – Apple เปิดตัว iPhone X ยกเลิกการใช้งาน Touch ID เปลี่ยนมาใช้ Face ID แทนเป็นต้นมา
 
iOS 12

iOS 12 ปล่อยอัปเดตออกมาในวันที่ 17 กันยายน 2018 พร้อมการปรับปรุงและเพิ่มคุณสมบัติใหม่เข้ามามากมาย โดยมีไฮไลท์ที่สำคัญ ดังนี้
- Grouped Notifications – รวมการแจ้งเตือนจากแอปเดียวกันให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน พร้อมปุ่มล้างหน้าจอ
 - Screen Time – เพิ่มคุณสมบัติ Screen Time สำหรับติดตามการใช้งาน iPhone ของเราและของเด็กๆ ได้
 - Group FaceTime – Apple ปรับให้การโทรวิดีโอแบบ FaceTime กับคนอื่นๆ ได้พร้อมกันสูงสุดถึง 32 คน
 - ARKit 2 – เปิดตัว ARKit 2.0 ที่มุ่งเน้นไปที่การใช้งานแอปหรือการเล่นเกมที่มีผู้เล่นหลายคน
 - Memoji, Animoji – เพิ่มคุณสมบัติ Memoji และ Animoji
 
iOS 13

iOS 13 ปล่อยอัปเดตออกมาในวันที่ 19 กันยายน 2019 ซึ่งถือว่าเป็น iOS เวอร์ชันล่าสุดที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ และถือว่าเป็น iOS รุ่นสุดท้ายสำหรับ iPad โดยมีไฮไลท์ที่สำคัญ ดังนี้
- Dark Mode – เพิ่มคุณสมบัติ Dark Mode เปลี่ยนธีมหน้าจออุปกรณ์ให้กลายเป็นโทนสีมืดทั้งหมด
 - Sign in with Apple – ลงชื่อเข้าใช้แอปต่างๆ ปลอดภัยมากขึ้น โดย Sign In with Apple ID ไม่จำเป็นที่ผู้ใช้ต้องกรอก Password ใหม่ สามารถใช้ Face ID, Touch ID ในการยืนยันข้อมูลได้เลย
 - Game Controllers – รองรับการเล่นเกมร่วมกับจอยเกมอย่าง PlayStation 4 หรือ Xbox One
 - New Privacy and Security Options – เพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัย ควบคุมการเข้าถึงข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งของผู้ใช้ในกรณีที่แอปต้องการข้อมูล
 - New Portrait Lighting Options – ปรับแต่งภาพ Portrait Lighting ได้มากขึ้น โดยสามารถปรับระดับความสว่างของไฟ Studio, ปรับความเนียนของผิว, รูปแบบของดวงตา และปรับใบหน้าของแบบให้สว่างขึ้น
 - Performance – ปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดีขึ้น เช่น เปิดแอปเร็วขึ้น, สแกนหน้า Face ID เร็วกว่าเดิม, ขนาดแอปดาวน์โหลดใน App Store ลดลงจากเดิม 50%
 - Apple Maps – ปรับปรุงแอปแผนที่ของ Apple ใหม่ เพิ่มคุณสมบัติ Look Around เพิ่มมุมมอง 3 มิติของตัวอาคารและสถานที่สำคัญ
 - New Shortcuts – เพิ่มแอปคำสั่งลัด
 - Video Customize – สามารถปรับแต่งวิดีโอได้แล้ว ทั้งตัด Crop, ปรับแต่งสี ฯลฯ
 - New, improved Siri voice – ฉลาดขึ้น ปรับปรุงการพูดให้เป็นธรรมชาติมากขึ้น
 - iPad OS – มาพร้อมการเปิดตัว iPadOS
 
ขอขอบคุณ – Lifewire
ทีมงาน iPhoneMod
					


