in ,

วิธีเลือกฮาร์ดดิสมาใช้งานกับ NAS พร้อมรีวิว Seagate NAS HDD

seagate-nas-hdd3

ก่อนหน้านี้ได้รีวิว NAS จาก Synology ให้ชมกันแล้วหากใครพลาดสามารถตามอ่านได้ที่ รีวิว Synology DS215j อุปกรณ์ NAS สำหรับเก็บข้อมูลสร้าง Cloud ส่วนตัว จากนั้นมีคำถามเข้ามาว่าจะมีหลักการเลือกซื้อฮาร์ดดิสมาใช้กับ NAS อย่างไร บทความนี้จะให้ข้อมูลเรื่องดังกล่าวและพร้อมรีวิว NAS Hard Disk จาก Seagate รุ่น ST4000VN000 ความจุ 4TB ให้ได้ชมกันครับ พร้อมแล้วไปชมพร้อมๆ กันเลยครับ

การเลือกฮาร์ดดิสสำหรับ NAS

ปกติแล้ว NAS นั้นรองรับฮาร์ดดิสขนาด 3.5″ ที่ติดตั้งอยู่ในคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะทั่วไปนั่นแหละครับสามารถนำมาใช้งานได้เหมือนกันถ้าต้องการประหยัดงบก็ซื้อแบบธรรมดามาใช้งานก็ได้ไม่บังคับกัน เรื่องประสิทธิภาพและราคานั้นก็เป็นไปตามการออกแบบของฮาร์ดดิสรุ่นนั้นๆ

แล้วควรเลือกฮาร์ดดิสแบบไหนหละมาใช้กับ NAS?

กรณีที่ 1 เน้นความปลอดภัยของข้อมูลและต้องการเข้าถึงได้ตลอด 24 ชั่วโมง/7 วัน

  • แบบนี้แนะนำให้ใช้ NAS HDD ทั้งหมดได้เลยครับ เพราะมันทน ถึก บึกบึน สามารถเปิดใช้งานต่อเนื่องกันได้นานและอายุนั้นค่อนข้างที่จะทนทาน จากนั้นทำ  RAID 5 เข้าไปเพื่อป้องกันหากฮาร์ดดิสตัวไหนพังข้อมูลก็จะยังอยู่อีกลูกนั่นเอง ข้อดีของ NAS HDD คือ แข็งแรงทนทานรองรับงานหนักและการทำงานแบบต่อเนื่องได้ดีส่วนข้อเสียคือ ราคาแพง เหมาะกับการนำไปใช้บริษัท สำนักงาน ออฟฟิตหรือ SME ต่างๆ

กรณีที่ 2 เน้นความจุเยอะแต่ใช้งานบ้างเป็นครั้งคราวหรือว่าไม่ซีเรียสเรื่องการทำงานตลอด 24 ชั่วโมง

  • แบบนี้เหมาะสำหรับผู้ใช้งานตามบ้านทั่วไปที่ต้องการเก็บข้อมูลเยอะๆ อย่างรูป เพลง ภาพยนต์ ฯลฯ ซึ่งอาจจะเปิดใช้งานบ้างเป็นบางเวลาและอาจจะไม่จำเป็นต้องเปิด NAS ตลอดเวลา  แนะนำให้ใช้ HDD คอมตั้งโต๊ะทั่วไปมาใช้งานแทนก็ได้ จากนั้นก็ทำ RAID 5 เพื่อสำรองข้อมูลฮาร์ดดิสให้เหมือนกัน อายุการใช้งานของ  ฮาร์ดดิสลูกนึงส่วนมากก็ 3-5 ปี (อาจจะไปเร็วหรือช้ากว่านั้นก็แล้วแต่รุ่น) ข้อดีคือประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนข้อเสียคือความทนทานอาจจะไม่เท่า NAS HDD

เอาหละโดยทั่วไปแล้วการใช้งานก็คงไม่หนีจาก 2 กรณีนี้หรอกเลือกเอาที่เหมาะสมว่าจะใช้แบบไหน

seagate-nas-hdd4

NAS จะแรงไม่แรงขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง?

โดยทั่วไปแล้วจะมี 3 ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความเร็วของการอ่าน เขียน ข้อมูลบน NAS คือ

  1. NAS
  2. Hard Disk
  3. Network

NAS มีหลายรุ่นให้เลือก ตัว NAS มันก็เหมือน CPU ของเครื่อง PC แหละครับ มันมี CPU, RAM, Network ต่างๆ ติดตั้งอยู่ในนั้นด้วย ถ้าฮาร์ดแวร์ที่ให้มาสเปคยิ่งแรงก็ยิ่งดี การอ่านเขียนข้อมูลและประมวลผลต่างๆ ก็จะทำได้อย่างรวดเร็ว

Hard Disk สำหรับติดตั้งเข้าไปที่ NAS ต้องดูสเปคของฮาร์ดดิสว่าเป็นอย่างไร ความเร็วการอ่าน เขียน ข้อมูลเป็นอย่างไร จำนวนของ cache ที่ให้มาเท่าไหร่และอีกอย่างคือ interface นั้นรองรับกับ NAS ที่ใช้หรือเปล่า ยกตัวอย่างง่ายๆ ฮาร์ดดิสที่ประสิทธิภาพดี การเข้าถึงข้อมูลก็ย่อมดีกว่าฮาร์ดดิสที่ประสิทธิภาพด้อยกว่า

Network ส่วนนี้ก็สำคัญหาก bandwidth ของระบบเครือข่ายยิ่งเยอะก็ยิ่งทำให้การส่งข้อมูลนั้นมีความรวดเร็วมากกว่า เช่น Wireless N เทียบกับ Wireless AC ความกว้างของช่องสัญญาณของ Wireless AC จะมากกว่า ทำให้การส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ไปยัง NAS นั้นสามารถทำได้ดีกว่า เป็นต้น

เอาหละพอทราบหลักการกันไปแล้วทีนี้มารีวิวและใช้งานจริงๆ พร้อมทดสอบประสิทธิภาพของ NAS กันบ้าง

ทดสอบประสิทธิภาพ NAS กับ Seagate NAS HDD

สเปคของฮาร์ดแวร์ที่ใช้ทดสอบหาประสิทธิภาพของ NAS ในครั้งนี้ประกอบด้วย

  1. Synology NAS รุ่น DS415+ สเปค Intel Atom C2538, Quad Core 2.4 GHz, 2GB Ram, 1Gbps Ethernet Interface
  2. Seagate NAS HDD รุ่น ST4000VN000 ความจุ 4TB ขนาด 3.5″ สเปคนั้นตามตารางที่แนบไว้ด้านล่าง ซึ่งฮาร์ดดิสตัวนี้ออกแบบมาเพื่อ NAS โดยเฉพาะ
  3. Lenovo Thinkpad X210i, Intel i3, 2.13GHz, 8GB Ram, 128GB SSD, 1Gbps Lan, Windows 7 64-bit
  4. Apple Airport Time Capsule, Wireless AC, 1Gbps Ethernet ใช้เชื่อมระหว่างคอมฯ เข้ากับ NAS

สำหรับเครื่องมือที่ใช้ทำการทดสอบประสิทธิภาพของ NAS เพื่อให้เห็นความสามารถในการอ่านเขียนข้อมูลฮาร์ดดิสนั้นจะใช้โปรแกรม Intel® NAS Performance Toolkit

ข้อมูลของ NAS HDD จาก Seagate

seagate-nas-hdd1 seagate-nas-hdd2

ข้อมูลทางเทคนิคของ Seagate NAS HDD รุ่น ST4000VN000 ความจุ 4TB ตัวนี้สามารถชมแบบเต็มๆ ได้ที่นี่ ส่วนตารางด้านล่างตัดมาให้ชมในส่วนฟีเจอร์หลักซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ใช้ขั้นสูง

Screenshot 2015-10-30 15.20.01

Screenshot 2015-10-30 00.06.53

seagate-nas-01-smallseagate-nas-02-small

ผลการทดสอบจาก NASPT

การทดสอบด้วย Intel NAS Performance Toolkit นั้นหลักการคือตัวแอปพลิเคชันจะทำการเขียนไฟล์ตัวอย่างไปที่เป้าหมาย (target) นั่นคือเนื้อที่ว่างบน NAS ที่เราได้กำหนดเอาไว้ ทั้งนี้เพื่อที่จะวัดประสิทธิภาพออกมาเป็นตัวเลขให้เห็นกันอย่างชัดเจนว่าความเร็วนั้นเป็นอย่างไร

naspt

จากตัวอย่างตามผลจากแอปพลิเคชัน NASPT นั้นได้ผลดังนี้

  • ​HD Video Playback = 29.6 MB/วินาที
  • 2x HD Playback = 35 MB/วินาที
  • 4x HD Playback = 34.8 MB/วินาที
  • HD Video Record = 199.1 MB/วินาที
  • HD Playback and Record = 48 MB/วินาที
  • Content Creation =  9.4 MB/วินาที
  • Office Productivity = 6.5 MB/วินาที
  • File copy to NAS (การคัดลอกไฟล์ไปเขียนลงที่ NAS) = 217.8 MB/วินาที
  • File copy from NAS (การอ่านไฟล์จาก NAS) = 78.4 MB/วินาที
  • Dir copy to NAS = 22.5 MB/วินาที
  • Dir copy from NAS = 25.2 MB/วินาที
  • Photo Album = 8.2 MB/วินาที

หากใครต้องการอ่าน log เต็มๆ ของการทดสอบนั้นชมได้ที่นี่ครับ ในนั้นจะบอกไว้ว่าขนาดของข้อมูลเท่าไหร่ เขียน อ่านไปทั้งหมดและใช้เวลาเท่าไหร่พร้อมกับเฉลี่ยให้ด้วย

หากอยากรู้ว่าแรงหรือไม่แรงลองเทียบตัวอย่างประสิทธิภาพของ Airport Time Capsule ความเร็วต่างกันชัดเจนอย่างมาก

iphonedmod-ss-027

ผลที่ได้หมายความว่าอย่างไร?

Synology NAS DS415+ รวมกับ Seagate NAS HDD ตัวนั้นช่วยให้การอ่านเขียน เข้าถึงข้อมูลในได้อย่างรวดเร็วกว่าเมื่อเทียบกับ Airport Time Capsule อย่างเห็นได้ชัด ประโยชน์คือเราสามารถดูหนัง ฟังเพลง อ่านเขียนไฟล์ไปที่ NAS ได้อย่างไม่สะดุดและแถมได้ความจุที่มากขึ้นด้วย

ประสบการณ์ที่เจอส่วนตัวเลยก็คือผมถ่ายภาพมาจำนวน 1,000 รูปบันทึกที่ NAS และ Airport Time Capsule จากนั้นลองเปิดภาพเหล่านั้นขึ้นมาดู ผลปรากฎว่ารูปที่ดูจาก  NAS นั้นดีเลย์น้อยมาก เปิดปุ๊บก็แสดงขึ้นมาเลย ต่างจากที่ดูผ่าน Airport Time Capsule

ดังนั้นคงจะเห็นแล้วใช่ไหมครับว่าผมจะสื่ออะไร? มันคือความสะดวกรวดเร็วในการเข้าถึงข้อมูลนั่นเองครับ

สรุป

ในบทความนี้ผมชี้ให้เห็นถึงการเลือกซื้อฮาร์ดดิสมาใช้กับ NAS ว่าควรเลือกแบบไหนที่เหมาะกับตัวเรา เลือกให้เหมาะกับการใช้งานและงบประมาณที่มี

NAS สามารถใช้ฮาร์ดดิสคอมตั้งโต๊ะธรรมดาก็ได้ไม่ผิดกฎแถมราคาถูกกว่าด้วย แต่ก็ต้องเข้าใจถึงข้อจำกัดว่าฮาร์ดดิสแบบนี้ไม่ได้ออกแบบมาให้รันทำงานนานๆ หรือตลอดเวลา ดังนั้นอายุการใช้งานก็จะสั้น ซึ่งต่างกับ NAS HDD

สำหรับ Seagate NAS HDD ตัวนี้ข้อดีคือรองรับกับ NAS ที่มี ความเร็วในการเข้าถึงไฟล์นั้นทำได้ดีและความทนทานแนะนำหากใครที่ต้องการความปลอดภัยของข้อมูลที่สำรองไม่ให้หายก็ต้องเลือกฮาร์ดดิสที่ไว้ใจได้ซึ่ง Seagate เองก็ถือว่าเป็นเจ้าที่ผลิตฮาร์ดดิสอันดับต้นๆ ของตลาดโลกเลยแหละ ฉะนั้นหากไม่อยากเอาข้อมูลไปเสี่ยงกับการสูญหายก็ควรเลือกตัวที่ไว้ใจได้ ระเวลานั้นทาง Seagate รับประกันให้ 3 ปี (ในสเปคแจ้งว่าสามารถใช้งานได้ 1 ล้านชั่วโมงหรือประมาณ 114 ปี) ทั้งนี้สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้จำหน่ายได้เลยนะครับ

Seagate NAS HDD รุ่น ST4000VN000 ความจุ 4TB ตัวนี้ราคาอยู่ที่ 6,350 บาท

seagate-beenass

ขอบคุณ Seagate ประเทศไทยและ Beenas.net สำหรับอุปกรณ์และข้อมูลประกอบในการทดสอบครั้งนี้ สนใจ Seagate NAS HDD สามารถสั่งซื้อได้ที่นี่

ความคิดเห็น - Like เพจ iPhoneMod.net

เขียนโดย Attapon Thaphaengphan

ศิษย์เก่าวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ม. ขอนแก่น ผู้ก่อตั้ง iPhoneMod.net ตั้งแต่ปี 2009
อดีต Dell Technical Support รู้จัก ​Apple เพราะ Macbook Pro และใช้ iPhone ตั้งแต่รุ่น 3G จนถึงปัจจุบัน