in ,

บทวิเคราะห์ iPad รุ่นไหนเหมาะกับใคร ความเห็นโดยทีมงานอัปเดต ก.พ. 2017

iPad ของ Apple ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น Tablet ที่มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ซึ่งมีการซอยรุ่นย่อยออกมาค่อนข้างเยอะ โดยมีกำแพงทั้งราคา, ขนาดหน้าจอ, รวมถึงคุณสมบัติระดับมืออาชีพ เพื่อเป็นแนวทางการซื้อ ทีมงาน iPhoneMod จึงจัดทำบทวิเคราะห์ iPad รุ่นไหนเหมาะกับใคร (ปี 2016 – 2017) มาเป็นข้อมูลช่วยในการตัดสินใจครับ

iPad ที่ Apple ยังเปิดจำหน่ายอยู่ (กุมภาพันธ์ 2017)

ก่อนอื่นเรามาดูรายการ iPad ของ Apple กันก่อนว่ามีรุ่นอะไรบ้าง (ปี 2016 – 2017)

  • iPad Pro รุ่น 12.9 นิ้ว
  • iPad Pro รุ่น 9.7 นิ้ว
  • iPad Air 2
  • iPad mini 4
  • iPad mini 2

ในส่วนของราคามีเริ่มต้นตั้งแต่ 9,900 บาท ไปจนถึง 43,900 บาท (ไม่นับรวมรุ่นที่เลิกจำหน่ายไปแล้ว) โดยหลักแล้ว iPad จะไม่เหมือน iPhone ซึ่งจะมีการแบ่งออกเป็นรุ่น “ใส่ซิม” กับ “ไม่ใส่ซิม” โดยจะมีช่วงราคาห่างกันประมาณ 5,000 บาท

iPad รุ่นไม่ใส่ซิมเหมาะกับการใช้งานในบ้าน (เท่านั้น) โดยส่วนตัวมองว่ามันไม่ค่อยคล่องตัวเท่าไหร่กับ Tablet ที่ต่อเน็ตไม่ได้เมื่ออยู่นอกบ้าน (ต้องพึ่ง Wi-Fi เพียงอย่างเดียว)

แน่นอนว่าหากคุณมั่นใจว่าใช้งานในบ้าน 100% หรือเอาวางไว้สำนักงานตลอดเวลา การเลือกรุ่นไม่ใส่ซิมจะช่วยให้ประหยัดเงินในกระเป๋าไปมากเลยทีเดียว แต่บางคนอาจเถียงว่าใช้ Mobile Hotspot and Tethering จากสมาร์ทโฟนก็ได้ แต่เท่าที่ผมลองมามันไม่สะดวกเอาเสียเลย

ปล. รู้หรือไม่? iPad Air แชร์ WiFi Hotspot ได้นานถึง 24 ชั่วโมง (อันนี้เป็นอีกข้อดีเวลาคุณไปต่างประเทศ หรือเอาไว้แชร์โน๊ตบุ๊คเพื่อใช้ทำงานนอกสถานที่)

iPad Pro รุ่น 12.9 นิ้ว

งบประมาณ 30,900 – 43,900 บาท เป็นรุ่นที่แพงสุดโดยมีความโดดเด่นตรงหน้าจอขนาด 12.9″ ซึ่งใหญ่มาก (แนะนำให้ไปลองจับของจริงก่อน) ออกแบบมาเพื่องานสำหรับมืออาชีพเนื่องจากรองรับ Apple Pencil (3,900 บาท) และ Smart Keyboard (6,700 บาท) ซึ่งหากซื้อหมดนี่ราคาแทบจะได้ MacBook Pro เลยทีเดียว

สรุปคือว่า iPad Pro เหมาะกับศิลปินหรือผู้วาดรูปหรือออกแบบกราฟฟิก 2D 3D เป็น “อาชีพ” ด้วยคุณสมบัติ Apple Pencil ที่หาตัวเทียบยากในท้องตลาด บวกกับแอปพลิเคชันที่ยอดเยี่ยมใน iOS จึงทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ iPad Pro รุ่น 12.9 นิ้วยังเป็น iPad ที่หน้าจอความละเอียดสูงสุด (2,732 x 2,048 พิกเซล) รวมถึงมีหน่วยประมวลผล A9X ที่เร็วที่สุดด้วย

iPad Pro รุ่น 9.7 นิ้ว

งบประมาณ 22,900 – 35,900 บาท เป็นรุ่นที่เหมือน Apple จะออกมาแก้เขิลเพราะราคา 12.9″ ดูเหมือนมันจะแพงเกินไป ช่วงราคาใหม่จึงถูกกว่าค่อนข้างมาก ส่วนสเปคแทบจะถอดกันมาเลยทีเดียว สามารถใช้งาน Apple Pencil (3,900 บาท) ร่วมกันได้แต่ Smart Keyboard (5,700 บาท) มีราคาถูกกว่าตามขนาดหน้าจอ

สรุปคือว่า iPad Pro เหมาะกับศิลปินหรือผู้วาดรูปเป็น “อาชีพ” (อีกแล้ว) แต่ด้วยราคากับขนาดหน้าจอใหม่จึงซื้อได้ง่ายขึ้น การใช้งานเหมือนกันทุกประการ นอกจากนี้รุ่น 9.7″ ยังไม่ความเป็นงานภาพยนตร์ “มากกว่า” ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ที่รุ่น 12.9″ ไม่มี

  • จอภาพขอบเขตสีกว้าง (P3)
  • การแสดงผลแบบ True Tone
  • กล้องหลัง 12 เมกะพิกเซล
  • รูรับแสงขนาด ƒ/2.2
  • คุณสมบัติ Live Photos
  • แฟลช True Tone
  • บันทึกภาพถ่ายด้วยขอบเขตสีกว้าง
  • ออโต้โฟกัสพร้อม Focus Pixels
  • บันทึกวิดีโอระดับ HD 4K (3840 x 2160)
  • รองรับวิดีโอสโลว์โมชั่น ความละเอียด 1080p ที่ 120 fps และ 720p ที่ 240 fps
  • ระบบป้องกันภาพวิดีโอสั่นไหวในคุณภาพระดับภาพยนตร์
  • วิดีโอออโต้โฟกัสแบบต่อเนื่อง
  • กล้องหน้า 5 เมกะพิกเซลพร้อม Retina Flash

พูดได้เต็มปากเลยว่า 9.7″ มีกล้องที่ดีกว่า 12.9″ (ทั้งที่ราคาถูกกว่า) และมีคุณสมบัติหลายอย่างที่เหมาะกับงานวิดีโอ ซึ่งถึงแม้ว่าขนาดจะไม่ค่อยเอื้ออำนวยก็ตาม แต่การตัดวิดีโอด้วยหน้าจอโปรไฟล์สี P3 สำหรับงานมืออาชีพนั้นสำคัญไม่แพ้กัน

รู้ไว้ใช่ว่า !?!

  • iPad Pro รุ่น 12.9″ ใช้หน่วยประมวลผล A9X เมื่อเทียบกับชิพ A7: CPU เร็วขึ้น 2.5 เท่า กราฟิกเร็วขึ้น 5 เท่า
  • iPad Pro รุ่น 9.7″ ใช้หน่วยประมวลผล A9X เมื่อเทียบกับชิพ A7: CPU เร็วขึ้น 2.4 เท่า กราฟิกเร็วขึ้น 4.3 เท่า

เห็นแบบนี้ดูเหมือน 9.7″ จะเหนือกว่า 12.9″ ในด้านกล้อง (และราคา) แต่ก็ไม่ต้องเสียใจไปเพราะว่า Apple แกล้งเตะตัดขาให้รุ่น 9.7″ มีความจุ RAM น้อยกว่า 1 GB เพื่อเป็นการปลอบใจคนซื้อก่อนหน้าครับ

iPad Air 2

งบประมาณ 14,400 – 22,900 บาท เป็นรุ่นขนาดกำลังพอดีไม่รองรับ Apple Pencil และ Smart Keyboard (แต่ก็อย่าเสียใจไปคีย์บอร์ดบลูทูธมีเยอะแยะ) รุ่นนี้ราคาค่อนข้างเป็นมิตรกว่า iPad Pro  เพียงแต่มีหน่วยประมวลผล A8X ที่โบราณกว่าซึ่งความเร็วห่างกันเท่าตัว แต่ถึงอย่างนั้นใช้งานจริงก็ยังเร็วอยู่ดี

หากเทียบกับ Notebook ถือว่า iPad Air 2 เป็นรุ่นมาตรฐานมีพร้อมทุกฟีเจอร์ ในราคาที่เป็นมิตรไม่แพงจนเกินไป สามารถใช้งานทั้งเรียนและเล่นได้เป็นอย่างดี อารมณ์การใช้งานเมื่อเทียบกับ iPhone ซึ่งถึงแม้จะเป็นแอปพลิเคชันเดียวกัน แต่กลับให้ประสบการณ์ที่ “แตกต่าง” อย่างสิ้นเชิง

สรุปก็คือหากคุณไม่รู้จะซื้อรุ่นอะไร ไม่ได้ต้องการใช้งานมืออาชีพหรืออยากได้ปากกามาวาดรูป (ซึ่งแพงมาก) การเลือกซื้อ iPad Air 2 มาจะตอบโจทย์มากครับ

iPad mini 4

งบประมาณ 14,400 – 22,900 บาท มีราคาขายที่เท่ากับ iPad Air 2 ทั้งที่หน้าจอก็เล็กกว่า (ฮา) แต่เห็นว่าเล็กแบบนี้อย่าคิดว่าสเปคจะด้อยกว่า เนื่องจากมีการถอดสเปคกันมาแทบจะ 99% เลยก็ว่าได้ ข้อดีคือจอเล็กข้อเสียคือจอเล็ก #เดี๋ยวนะ

ขนาดหน้าจอ iPad mini 4 อยู่ที่ 7.9″ ในขณะที่ iPad Air 2 อยู่ที่ 9.7″ แต่เมื่อใช้งานจริงจะเห็นถึงความแตกต่างเนื่องจาก iPad mini สามารถใช้งานได้ด้วยการถือ “มือเดียว” ดังนั้นกลุ่มเป้าหมายจึงชัดเจนสำหรับคนพกพา (และคุณควรเลือกตัวใส่ซิมได้) ส่วนน้ำหนักก็ประมาณ 300 กรัม เบากว่าถึงขีดครึ่ง !!!

เนื่องด้วยราคาเท่ากันดังนั้นราคาจึงไม่ใช่ปัจจัย อยู่ที่คุณชอบจอเล็กเพื่อพกพาหรือจอใหญ่แบบสะใจมากกว่า (ส่วนตัวชอบจอใหญ่มากกว่าในฐานะ Tablet)

รู้ไว้ใช่ว่า !?!

  • iPad Air 2 ใช้หน่วยประมวลผล A8X เมื่อเทียบกับชิพ A7: CPU เร็วขึ้น 1.4 เท่า กราฟิกเร็วขึ้น 2.5 เท่า
  • iPad mini 4 ใช้หน่วยประมวลผล A8 เมื่อเทียบกับชิพ A7: CPU เร็วขึ้น 1.3 เท่า กราฟิกเร็วขึ้น 1.6 เท่า

เห็นแบบนี้ดูเหมือนว่า iPad Air 2 จะได้เปรียบเรื่องกราฟิกมากกว่า แต่ถ้าคุณไม่ค่อยเล่นเกมก็เลือก iPad mini 4 ไปก็ได้ครับ (แต่ความเห็นส่วนตัวเอนไปทาง iPad Air 2 มากกว่าด้วยขนาดหน้าจอและสเปคกราฟิก)

iPad mini 2

งบประมาณ 9,900 – 14,400 บาท เลือกได้ความจุเดียวคือ 32 GB เป็นหนึ่งในรุ่นโบราณพอสมควร เหมาะกับคนงบน้อยมากถึงมากที่สุด หรือต้องการเอาไปใช้งานด้านใดด้านหนึ่งที่ไม่หนักมากนัก เช่น เอาไว้อ่านหนังสือเพียงอย่างเดียว, เอาไว้นำเสนองานลูกค้า, เอาไว้ให้ลูกดูหนังแก้เบื่อ

เนื่องด้วยเป็นรุ่นเก่ามากแล้วทุกอย่างจึงล้าสมัย ไม่มีกระทั่ง Touch ID แถมยังมีน้ำหนักมากกว่า iPad mini 4 ถึงเกือบครึ่งขีด (ใช้เคสร่วมกันไม่ได้) จอภาพไม่เป็น Full Lamination และไม่เคลือบกันแสงสะท้อนแบบรุ่นอื่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรองรับการบันทึกวิดีโอระดับ HD 1080p เพียงแต่ไม่รองรับวิดีโอสโลว์โมชั่นเท่านั้นเอง นอกจากนี้ก็จะมีเรื่องไม่รองรับ Wi-Fi AC และเป็น Bluetooth 4.0 แทนที่จะเป็น 4.2 ตามเทคโนโลยีปัจจุบัน

โดยส่วนตัวแล้วไม่แนะนำ iPad mini 2 เพราะค่อนข้างช้าและเก่ามากแล้ว บวกเงินอีกนิดหน่อยเพื่อซื้อ iPad mini 4 หรือ iPad Air 2 แล้วใช้งานระยะยาวดีกว่าเยอะ

สรุป

การเลือก iPad จะไม่ค่อยลำบากเท่าไหร่ เพราะทาง Apple ได้แบ่งกลุ่มลูกค้าชัดเจนจากขนาดหน้าจอและงบประมาณ แต่ถึงอย่างไรไม่ว่าคุณจะเลือกขนาดหน้าจอเท่าไหร่ สเปคแบตเตอรี่ของ iPad ทุกรุ่นก็ยังคงเหมือนกัน

  • ท่องเว็บผ่าน Wi-Fi ดูวิดีโอ หรือฟังเพลงได้นานสูงสุด 10 ชั่วโมง
  • ท่องเว็บโดยใช้เครือข่ายข้อมูลเซลลูลาร์ได้นานสูงสุด 9 ชั่วโมง

ส่วนปีนี้ก็เป็นอีกปีหนึ่งที่น่าติดตาม จากแหล่งข่าวบอกว่า Apple อาจเปิดตัว iPad รุ่นใหม่หลายตัวอยู่เหมือนกัน ส่วนคำถามที่ว่ามี iPhone แล้วสมควรมี iPad หรือไม่ ?

อันนี้ตอบจากส่วนตัวคือ “มีก็ดีแต่ไม่มีก็ได้” ด้วยการใช้งาน App ที่แทบจะเหมือนกัน 90% (ยกเว้นบาง App สร้างมาเพื่อ iPad ด้วยข้อจำกัดขนาดจอ) แต่ถึงเป็น App เดียวกันแต่เวลาเล่นบน iPad ให้ประสบการณ์ที่ดีกว่าเยอะครับ

ความคิดเห็น - Like เพจ iPhoneMod.net

เขียนโดย yugioh2500

หากตรงไหนแปลหรือเขียนผิดสามารถชี้แนะได้ครับ
ติดต่อ-สอบถาม-พูดคุย-แลกเปลี่ยนกันได้ที่
Twitter: @yugioh2500