จากประสบการณ์ตรงของคนรอบตัวที่ประสบเจอมา ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าคนที่มีสตางค์ (ใช้ศัพท์แก่ไปไหม?) ซื้อโทรศัพท์เครื่องละสองหมื่นกว่าบาท ทำไมไม่ใช้อุปกรณ์เสริมดี ๆ หรือที่มันมีมาตรฐาน (หรือว่ามันเอาตังค์ไปผ่อนโทรศัพท์หมดแล้ว?) สืบเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อเช้าผมได้เข้าไปอ่านกระทู้ใน Pantip ของคุณ ข่าววงนอก เกี่ยวกับเรื่องสาย Lightning to USB Cable นี่แหล่ะ
ทางคุณ จขกท. ได้ทดสอบสาย Lightning to USB Cable (ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกมันว่าสายชาร์จ) ด้วยเครื่อง Watt meter พบว่าหากใช้ Adapter แท้และสายชาร์จแท้จะจ่ายไฟได้ประมาณ 13 Watt (ประมาณ 2.4 Amp) และทำการเดินซื้อสายชาร์จถูก ๆ ตามท้องตลาดมาทดสอบ ซึ่งผลออกมาคือ
- สายชาร์จเก๊ (Apple Lightning) ราคา 100 บาท จ่ายไฟได้แค่ 5 Watt
- สายชาร์จยี่ห้อ Commy ราคา 290 บาท จ่ายไฟได้แค่ 5-6 Watt
- สายชาร์จยี่ห้อ Maxx (รุ่นมีไฟสีฟ้า-แดงตอนชาร์จ) ราคา 290 บาท จ่ายไฟได้แค่ 5 Watt
- สายชาร์จยี่ห้อ USAMS ราคา 190 บาท จ่ายไฟได้แค่ 7-8 Watt
- สายชาร์จยี่ห้อ PowerMaxx ราคา 99 บาท จ่ายไฟไม่เข้า (ฟ้องว่าไม่รองรับ iOS7)
นอกจากนี้ยังมีการทดสอบสายจีนถูก ๆ อีก 4-5 รุ่นพบว่า ไม่มีเส้นไหนเลยที่จ่ายไฟได้มากกว่า 6 Watt และเกินกว่าครึ่งขึ้นคำว่า “Not Charging”
ผลทดลองนี้ผมขอสรุผว่าสายที่ขายตามท้องตลาด ราคาไม่เกิน 300 บาท ไม่มีคุณภาพครับ อย่าเชื่อยี่ห้อมากนัก
เอาล่ะ … กลับมาบ่นต่อ หลายคนคงคิดว่าสายชาร์จของ Apple เนี่ยทำไมมันถึงขาดง่ายเหลือเกิน ใช่ครับมันเป็นที่วัสดุครับ เท่าที่สัมผัสดูผมคิดว่ายางมันค่อนข้างจะนิ่มและยืดหยุ่นเล็กน้อย แต่ถ้าเราเก็บรักษาดี ๆ ไม่จับโยน ๆ ใส่กระเป๋าหรือให้มันรั้งกับสิ่งใดมันก็อายุการใช้งานนานอยู่นะ
ที่ยกตัวอย่างภาพมาก็เป็นรุ่นเก่าสุดเท่าที่ผมยังมีสมัย iPad 2 เปิดตัว (ก็หลายปีแล้วนะ) ทุกวันนี้สายก็ยังอยู่ในสภาพดีไม่ขาดไม่เปื่อยและไม่ยุ่ย (มันเป็นสายแท้แต่ผมเอาสติกเกอร์มาติดไว้) ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะผมรักษามันดีมั้ง
เพื่อตัดปัญญาสายชาร์จห่วย ๆ ออกไปผู้ผลิตก็สรรหาทุกวิถีทางเพื่อกันสายไร้คุณภาพออกไป (ล่าสุดถึงขนาดฝังชิพลงไปแล้ว) แน่นอนว่าการกระทำแบบนี้เป็นการสร้างประสบการณ์ใช้งานที่ดีให้ผู้ใช้อย่างหนึ่ง (คงไม่มีใครรู้สึกดีกับ iPhone ที่ชาร์จแบตฯ ทีครึ่งวันหรอกมั้ง)
และราคาสายชาร์จของ Apple ก็ไม่ได้แพงถึงขนาดขูดเลือดขูดเนื้อนัก 1 เมตรราคา 690 บาท จ่ายไฟได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย แถมยังมีประกันให้ถึง 1 ปี ถ้าเสียก็เปลี่ยนให้เส้นใหม่ ต่างจากสายแบกะดินที่ซื้อแล้วจบกันเส้นละ 100, 199 เปลี่ยนกันปีนึงไม่รู้กี่เส้น แถมคุณภาพยังต่างกันอีก แบบนี้ยังเรียกว่าแพงอีกหรือ?
เข้าใจว่าหลายท่านคงไม่ได้ทราบถึงรายละเอียดเชิงลึกมากนัก เข้าใจแต่เพียงว่าชาร์จไฟเข้าก็คือจบนอกนัั้นเหมือน ๆ กัน ย้อนกลับไปทำให้นึกถึงเรื่อง Power Bank สมัยก่อนราคาค่อนข้างแพงมาก (จริง ๆ เดี๋ยวนี้ก็แพงอยู่) จนกระทั่ง YOOBAO เข้ามาตีตลาด “สเปคสูง ราคาต่ำ คุณภาพกลาง” ซึ่งถึงแม้ YOOBAO จะไม่ได้คุณภาพดีเลิศอะไรนัก แต่ก็ยังอยู่ในระดับกลาง ๆ หากใครเป็นคนขายจะทราบดีว่าอัตราการเคลมค่อนข้างสูง แต่มันก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้เพราะสเปคลงไว้กี่ mAh เวลาใช้งานจริงก็ใกล้เคียง
ต่างจากเดี๋ยวนี้มียี่ห้อแปลก ๆ มาทำตลาดชนิดสเปคขี้โม้มาก 30,000 mAh ราคาพันเดียวงี้ ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่ได้ตามสเปคที่เขียนไว้ นี่ยังไม่นับเรื่องการจ่ายไฟที่มีปัญหา แถมแบตเตอรี่ยังคุณภาพต่ำใช้ไม่กี่เดือนก็เสื่อมอีก
มีบางเคสที่บอกว่าใช้สายชาร์จปลอม iPhone แล้วเครื่องมีปัญหาไปเลยก็มี (ภาพประกอบจากในเน็ต) ทำไมหลายคนถึงได้ทำราวกับ iPhone เครื่องละร้อยเดียวที่ยอมให้มันพังแล้วซื้อเครื่องใหม่ มากกว่าการจ่ายส่วนต่างค่าสายชาร์จที่มีมาตรฐานได้คุณภาพกับ … ไร้คุณภาพ
แต่หากหลายคนไม่ชอบสายชาร์จแท้ของ Apple จริง ๆ ไม่ว่าจะเพราะมันขาดง่ายหรือสกปรกง่ายก็ตามแต่ ตอนนี้ก็มีแบรนด์ทางเลือก (ที่ได้มาตรฐาน Apple) อย่าง Moshi, Belkin ซึ่งผมเคยรีวิวไว้ใน รีวิว – Moshi USB Cable with Lightning Connector “สาย Lightning ทางเลือกใหม่” พวกนี้ก็ใช้ได้เหมือนกัน แต่อย่างที่บอกราคามันไม่ใช่เส้นละร้อยสองร้อยหรอกนะ
สรุป
ของบางอย่างมองด้วยตาเราอาจจะไม่ทราบว่ามันแตกต่างกันอย่างไร แต่ขอให้เชื่อเถอะครับว่าหลาย ๆ สิ่งที่มันแพงบางครั้งมันมี “คุณภาพ” เป็นเครื่องกั้นกลางอยู่ ลองยกตัวอย่างเรื่องหูฟังกับคนที่ไม่เข้าใจเขาก็ว่ามันเหมือน ๆ กัน แต่เสียงหูฟังที่มีแบรนด์กับหูฟังแบกะดินคุณภาพเสียงมันต่างกันจนลามไปถึงวัสดุด้วยซ้ำไป