in ,

ลูกค้าเริ่มคืน Vision Pro เหตุเพราะหนัก และเวียนหัว

มีรายงานเผยว่าลูกค้าที่ซื้อ Vision Pro ไป บางรายเริ่มขอส่งคืน โดยเหตุผลหลัก ๆ มาจากความไม่สะดวกในการใช้งาน เช่น หนัก และเวียนหัว

ลูกค้าเริ่มคืน Vision Pro แล้ว ..

Apple เปิดขาย Vision Pro เมื่อวันที่ 2 ก.พ. ที่ผ่านมา และก็มีลูกค้าบางรายเริ่มคืนสินค้าแล้ว เพื่อให้อยู่ภายใต้เงื่อนไขคืนสินค้าภายใน 14 วันของ Apple

The Verge เผยว่าความสบายตอนสวมใส่เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ลูกค้าคืน Vision Pro, โดยหนึ่งในผู้ใช้เผยว่า ตอนสวมใส่ Vision Pro จะมีอาการปวดหัว เวียนหัวง่าย และตัวเครื่องมีน้ำหนักพอสมควร ใส่ไม่ค่อยสบาย

Parker Ortolani หนึ่งในทีมงานของ The Verge เผยว่า การใส่ Vision Pro ใช้งานนั้นทำให้อาการตาแดงเกิดขึ้นง่าย แต่ปัญหาตาแดง ตาแห้งในการใช้อุปกรณ์ลักษณะนี้มีมาหลายปีแล้ว ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นกับ Vision Pro

นอกจากนั้นก็มีความเห็นจากผู้ใช้คนอื่น ๆ เช่น Rjey เผยว่า รอไม่ไหวแล้วที่จะคืน Vision Pro ถึงแม้จะเป็นเทคโนโลยีที่ดีมาก ๆ แต่ใช้ไป 10 นาทีแล้วปวดหัวสุด ๆ

แน่นอนว่าเรื่องสรีระร่างกายของผู้ใช้แต่ละคนจะมีรูปแบบที่แตกต่างกัน บางคนตอนใส่ Vision Pro แรก ๆ ก็พอดี แต่ใช้ไปสักพักก็จะมีปัญหา คล้ายกับ Apple Watch และอุปกรณ์อื่น ๆ แต่ Vision Pro เป็นอุปกรณ์สวมใส่ที่ศีรษะจึงมีผลกระทบต่อผู้ใช้ค่อนข้างมาก

นอกจากเรื่องการสวมใส่แล้ว ผู้ใช้ Vision Pro บางรายเผยว่าตัวเครื่องยังให้ประสบการณ์ไม่ดีพอเมื่อเทียบกับราคา อย่างเช่นแอปบางตัวที่แสดงผลที่หน้าจอแล้วทำให้เวียนหัว, เขียนโค้ด ทำงานบน Vision Pro แทบไม่ได้เลยเพราะปวดหัว เป็นต้น

บางคนแกะเครื่องมาใช้ 2 ชม. ใส่กล่อง แล้วเตรียมส่งคืนเลย

หากนับตามวันที่ Apple เปิดขาย Vision Pro อย่างเป็นทางการวันแรก คือ 2 ก.พ. 2024 เท่ากับว่าวันที่ 16 ก.พ. 2024 จะเป็นวันสุดท้ายที่ลูกค้าจะสามารถส่งคืนเครื่องได้

MacRumors เผยว่าการคืน Vision Pro ที่ Apple Store นั้น ลูกค้าต้องส่งคืนตัวเครื่อง อุปกรณ์ในกล่อง และชิ้นส่วนต่าง ๆ อย่างครบถ้วน และผู้ใช้บางรายจะเจอคำถามว่าทำไมถึงต้องคืนด้วย แต่ Apple เองก็ไม่ได้ห้าม ไม่ให้คืนเครื่องแต่อย่างใด

ที่มา : The Verge, MacRumors

ความคิดเห็น - Like เพจ iPhoneMod.net

เขียนโดย Thitirath Kinaret

เต้นท์ iMoD : ป.ตรี วิศวกรรมซอฟต์แวร์ ป.โท บริหารธุรกิจ ม.พายัพ ชอบความสวยงามแบบเรียบง่าย ตามแบบฉบับของ Apple @Contact : facebook.com/tentzy