อีกหนึ่งข้อดีของ iPhone ไม่ว่าจะรุ่นเก่าขนาดไหนก็ยังสามารถหาอุปกรณ์เสริมอย่างเคส, ของแต่งหรือของที่ใช้งานร่วมกันได้แม้ว่าเวลาจะผ่านมานานแล้วซึ่งหากเป็นสมาร์ทโฟนยี่ห้ออื่นหรือว่ารุ่นก็คงจะหาได้ไม่ง่ายนักอย่างเช่นฟิล์มกันรอยก็หายากแล้ว จุดนี้ถือว่าเป็นข้อดีสำหรับผู้ใช้งาน iPhone นะครับ วันนี้สำหรับใครที่ใช้ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus เรามีอุปกรณ์เสริมมาแนะนำกันครับ
แนะนำอุปกรณ์เสริม Apple ที่ใช้กับร่วม iPhone 8 และ iPhone 8 Plus
สำหรับมือใหม่ iPhone ที่ซื้อ iPhone 8, 8 Plus มาใช้เป็นครั้งแรกก็จะมีคำถามตามมาว่าจะใส่เคสตัวไหนดี แล้วฟิล์มกันรอยหละจะติดอันไหนดี พวกหูฟังต้องมีด้วยไหมถ้าอยากฟังเพลงจะใช้ตัวไหนดี
ทีมงาน iMod จะขอแนะนำอุปกรณ์เสริมสำหรับเสริมหล่อให้โดยเน้นที่ขายจาก Apple ว่าจะมีตัวไหนที่น่าสนใจบ้างควรควรเลือกแบบไหนไปชมกันครับ
1. เคส
สิ่งนี้ต้องมีเลยนะครับสำหรับ iPhone 8, 8 Plus ด้วยความที่รุ่นนี้ใช้ฝาหลังเป็นกระจกเพื่อใช้ชาร์จไร้สายได้ดังนั้นเคสฝาหลังของ iPhone 8, 8 Plus จะไม่เหมือนรุ่นก่อนหน้า (iPhone 7 และกล่าวกว่า) เพราะมันสามารถแตกได้ฉะนั้นควรหาเคสใส่ไว้จะอุ่นใจดีที่สุด
iPhone 8, 8 Plus ต้องใส่เคสจะอุ่นใจที่สุด
สำหรับเคสจาก Apple นั้นมีให้เลือก 2 แบบคือ ซิลิโคนและหนัง โดยความแตกต่างของทั้ง 2 รุ่นอยู่ที่วัสดุที่ใช้ผลิตและราคา
เคสหนัง – เคสนี้ผลิตด้วยหนังฟอกพิเศษใส่แล้วเข้ารูปกับ iPhone 8, 8 Plus ได้ดี ปุ่มที่กดนั้นเป็นอะลูมิเนียมยื่นออกมาทำให้ดูสวยงามและแถมการกดใช้งานทำได้ง่าย ส่วนที่ชอบคือด้านในของเคสที่สัมผัสกับหลังเครื่องเป็นผ้าไมโครไฟเบอร์นุ่มละเอียดไม่ทำให้ตัวเครื่องเป็นรอย การสวมใส่และถอดเคสทำได้ง่าย ดูสวยงามหรูหรา ยิ่งใช่ไปเรื่อยๆ ความเป็นจุดเด่นของหนังจะเริ่มแสดงขึ้นมันจะนิ่มและสีเริ่มจางในบางจุด ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่หลายๆ ชอบ ส่วนการใช้งานร่วมกับชาร์จไร้สายนั้นทำได้ดีไม่มีปัญหาอะไร แถมกันกระแทกได้ดีระดับหนึ่งด้วย
- iPhone 8 ราคา 2,100 บาท
- iPhone 8 Plus ราคา 2,200 บาท
เคสซิลิโคน – รูปทรงจะเหมือนกับเคสหนังต่างเพียงวัสดุที่ใช้ซึ่งเป็นซิลิโคนมีความความนิ่มแต่ไม่ย้วย สวยงามตามแบบฉบับของ Apple ติดตั้งเข้าเครื่องแล้วกระชับจับถนัดมือและกันแรงกระแทกได้ดี ใช้งานกับการชาร์จได้สายได้อย่างไร้ปัญหา
- iPhone 8 ราคา 1,500 บาท
- iPhone 8 Plus ราคา 1,700 บาท
ส่วนตัวแล้วถ้าให้เลือกระหว่าง 2 รุ่นนี้ผมเลือกเคสหนังด้วยความชอบส่วนตัวคือใส่แล้วหรูหราและรักษาง่ายมากว่าซิลิโคน หนังแม้ว่านานๆ จะสีจะซีดไปมันก็ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของมันอยู่ดูแล้วมีความ Classic ดี
2. อุปกรณ์สำหรับชาร์จเร็ว
หากใครไม่ทราบว่า iPhone 8, 8 Plus ที่คุณถือในมือหรือใครที่คิดจะซื้อไปใช้งานนั้นรุ่นนี้มาพร้อมความสามารถในการชาร์จแบตเตอรีให้เต็มเร็วเป็นพิเศษ เร็วกว่า iPhone 7 และเก่ากว่า
เร็วแค่ไหน?
ความเร็วคือเสียบชาร์จ 30 นาทีได้แบตเตอรีเพิ่ม 50% และชาร์จเต็ม 100% ใช้เวลาไม่เกิน 1.30 ชั่วโมง
แต่ที่เสียดาย Apple ไม่แถมอุปกรณ์ชาร์จเร็วมาให้เราด้วย ดังนั้นหากต้องการได้ประโยชน์จากจุดนี้จริงๆ อาจจะต้องกัดฟันซื้ออุปกรณ์เพิ่มสักหน่อย ได้แก่
อะแดปเตอร์ USB-C กำลังไฟ 29W และ สาย USB-C to Lightning
USB-C Power Adapter ขนาด 29 วัตต์ จริงๆ แล้วอะแดปเตอร์นี้ออกแบบมาสำหรับ MacBook 12 นิ้ว แต่ทั้งนี้อุปกรณ์นี้สามารถจ่ายไฟให้ iPhone 8, 8 Plus รวมทั้ง iPhone X ได้ด้วย อะแดปเตอร์นี้จ่ายไฟผ่านพอร์ต USB-C ให้กำลังไฟขนาด 29W (วัตต์) ดังนั้นเมื่อใช้งานร่วมกับสาย USB-C to Lightning เพื่อชาร์จแล้วจะทำให้แบตเตอรี iPhone 8, 8 Plus เต็มเร็วกว่าชาร์จด้วยอะแดปเตอร์ที่แถมมากับตัวเครื่องนั้นเอง
ปล. หากใครมี MacBook Pro 2016 ที่มาพร้อม USB-C Power Adapter ก็สามารถใช้ตัวนั้นชาร์จไฟให้กับ iPhone 8, 8 Plus ได้เลยโดยไม่ต้องซื้อเพิ่ม
ราคาของอุปกรณ์ดังกล่าว
- USB-C Power Adapter ขนาด 29 วัตต์ – 1,700 บาท
- สาย USB-C to Lightning – ยาว 1 เมตร 890 บาท, ยาว 2 เมตร 1,300 บาท
3. แท่นชาร์จไร้สาย
นับว่าเป็นครั้งแรกของการชาร์จไร้สายใน iPhone ที่ทาง Apple ตัดสินใจกระโดดเข้ามาเล่นในสนามการชาร์จไร้สายนี้ การชาร์จไร้สายถือว่าเป็นทางเลือกหนึ่งเพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้งานสามารถชาร์จ iPhone 8, 8 Plus และ iPhone X ได้โดยไม่ต้องเสียบสาย Lightning ให้เมื่อย เปลี่ยนมาเป็นวางบนแท่นปุ๊บก็ชาร์จปั๊บทันที
ชาร์จไร้สายเหมาะที่สุดก็ตอนนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์หรือวาง iPhone ข้างหัวเตียงตอนนอน
การชาร์จด้วยระบบไร้สายจะไม่เร็วเท่ากับชาร์จแบบสายในข้อที่ 2 แต่ว่าชาร์จเร็วกว่าแบบสายเมื่อใช้อะแดปเตอร์ (5W) ที่แถมมาด้วยในกล่อง ดังนั้นความเร็วในชาร์จสูงสุดผ่านไร้สายนั้นจะอยู่ที่ 7.5W หากจะให้ได้ความแรงของกำลังไฟขนาดที่บอกไว้นั้น 2 สิ่งที่จำเป็นคือ iPhone 8, 8 Plus ต้องอัปเดต iOS 11.2 หรือสูงกว่าและต้องมีแท่นชาร์จไร้สายที่รองรับการปล่อยกำลังไฟสูงสุดที่ 10W ด้วย
โดยทาง Apple ก็มีแท่นชาร์จไร้สายมาขายเช่นกันในชื่อ AirPower แต่ทว่าสินค้ายังไม่เปิดขาย ซึ่งแว่วๆ ว่าสินค้าชิ้นนี้จะจำหน่ายราวๆ ต้นปี 2561 ที่กำลังจะถึงนี้รอไปชมได้เลยที่ Studio7
หากใครรอแท่นชาร์จจาก Apple ไม่ไหว ทีมงานมีแท่นชาร์จไร้สายมาแนะนำอีกรุ่นคือ Belkin BOOST↑UP™ Wireless Charging Pad รุ่นนี้รองรับการชาร์จไร้สายสำหรับ iPhone 8, 8 Plus และ iPhone X ที่ให้กำลังไฟ 7.5W สูงสุดตามที่ iPhone รับได้ ข้อดีของแท่นชาร์จรุ่นนี้คือ
- รองรับการจ่ายกำลังไฟสูงสุด 7.5W ตามที่ iPhone 8, 8 Plus, X สามารถรับได้
- มีอะแดปเตอร์จ่ายไฟมาให้พร้อมโดยไม่ต้องซื้อเพิ่ม
- มีระบบตัดไฟอัตโนมัติเมื่อชาร์จเต็ม
- มีระบบป้องกันการจ่ายไฟหากอุปกรณ์ที่วางลงแท่นนั้นไม่ได้รับมาตรฐาน Qi
- แท่นชาร์จกันลื่นสามารถวาง iPhone แล้วเคลื่อนไหวเมื่อเครื่องมีการสั่นและไม่ทำให้เคส iPhone เป็นรอย
- สามารถชาร์จได้แม้ใส่เคส (ที่ไม่หนาจนเกินไป)
- มีชิปควมคุมควบระบบความร้อน
- แท่นชาร์จรับประกันสูงสุดนาน 3 ปี
ราคาแท่นชาร์จไร้สาย Belkin BOOST↑UP™ Wireless Charging Pad – 2,990 บาท
4. หูฟังไร้สาย
แม้ iPhone ตัดช่องหูฟัง 3.5 มม. ออกก็ไม่ได้หมายความว่าจะฟังเพลงผ่านสายหูฟังไม่ได้เพราะทาง Apple ได้แถมอะแดปเตอร์แปลงจาก Lightning เป็น 3.5 มม. มาให้ใช้ แต่ก็นะการใช้แบบมีสายมันก็ดีแต่ว่าหากใครได้ลองใช้หูฟังไร้สายละก็ สักพักคุณจะลืมหูฟังแบบมีสายไปเลยด้วยความที่มันใช้งานได้สะดวก มันไม่ต้องมีสายมาพันกันให้กวนใจและมันก็ Cool! มากๆ ด้วย
หูฟังไร้สายมีให้เลือกมากมายหลายยี่ห้อในท้องตลาดมาราคาตั้งแต่หลักร้อยไปถึงหลายหมื่นให้เลือกขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ฟัง
แต่ที่ผมจะแนะนำ 2 รุ่นที่ขายจาก Apple ที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
AirPods
ตัวแรกคือ Apple AirPods หูฟังไร้สายจาก Apple ที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานจริงๆ แม้ว่าตอนเปิดตัวจะโดนบ่น ด่า ว่าออกแบบได้ห่วยมากไม่ได้เรื่องเลย, หน้าตาน่าเกลียดแบบนี้ไม่มีใครซื้อใช้หรอก ฯลฯ แต่พอเปิดขายเท่านั้นแหละสินค้าไม่พอขายเลยทีเดียว
จุดเด่นของ AirPods
- เชื่อมต่อกับ iPhone ง่ายมากๆ
- หูฟังไร้สายที่แท้ทรู(จริง) หูฟังทั้งสองข้างแยกออกจากันอย่างอิสระ
- น้ำหนักเบาพกพาง่าย
- ใส่วิ่งออกกำลังกายก็ไม่หลุดออกจากหู (ทดสอบแล้ววิ่ง 10 กม. ต่อเนื่องหูฟังไม่หลุดและแบตเตอรียังใช้งานไม่หมด)
- เสียงดีเหมาะสำหรับการฟังเพลงทั่วไป
- ใช้คุยโทรศัพท์ได้เสียงดีด้วย
- ใช้ข้างเดียวได้ ไม่ต้องเป็นต้องใช้สองข้างตลอดเวลา
- แบตเตอรีอยู่ได้นานและสามารรถชาร์จได้ด้วยกล่องเก็บหูฟัง
- สามารถใช้สายชาร์จ Lightning ของ iPhone ชาร์จกล่องหูฟัง AirPods ได้เลย
Beats Solo3 Wireless
Beats Solo3 Wireless อีกหนึ่งตัวมาตรฐานที่ขายดีสำหรับหูฟังไร้สายจาก Beats รุ่นนี้มาพร้อมกับ Class 1 Bluetooth เพื่อเพลิดเพลินไปกับการฟังแบบไร้สาย และคุณภาพเสียงและการออกแบบที่ได้รับรางวัลจาก Beats ที่คุณจะต้องหลงรัก แบตเตอรี่ใช้งานได้นานสูงสุด 40 ชั่วโมงเพื่อการใช้งานที่ยาวนานหลายวัน เมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมด คุณสมบัติ Fast Fuel จะทำให้การชาร์จเพียง 5 นาที สามารถฟังเพลงได้นานถึง 3 ชั่วโมง
ที่ครอบหูแบบบุนุ่มแบบปรับได้ซึ่งออกแบบมาเพื่อความสบายในการใช้งานในทุกๆ วัน ดีไซน์เรียบหรูที่คล่องตัวและทนทาน ทั้งยังพับเก็บได้จึงพร้อมไปกับคุณในทุกที่ สามารถกดรับสาย ควบคุมเพลง และเปิดใช้งาน Siri ด้วยการควบคุมแบบมัลติฟังก์ชั่นจากตัวหูฟัง
Beats Solo3 Wireless เหมาะสำหรับคนผู้ใช้เริ่มต้นที่ชอบการฟังเพลงซึ่งหูฟังรุ่นนี้เสียงที่ได้จะมีความนุ่มและเบสที่กว่า AirPods รุ่นด้านบน ความพิเศษอีกอย่างของรุ่นนี้ก็คือมีสีสันสดใสให้เลือกมากมาย เหมาะกับวัยรุ่นใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
ราคา Beats Solo3 Wireless – 11,500 บาท
สำหรับหูฟังที่ผมเลือกนั้นคือ AirPods ด้วยความที่ใช้งานได้ง่าย พกพาง่าย เสียงอยู่ในระดับดี ใช้งานได้หลากหลายโอกาสซึ่งคุ้มค่ากับการซื้อมาใช้งานมากๆ
ส่งท้าย
อุปกรณ์เสริมทั้ง 4 อย่างที่แนะนำมานั้นถือมีทั้งสิ่งจำเป็นที่ต้องมีอย่างเคสและสิ่งที่ควรจะมีนั่นคือ หูฟังไร้สาย, แท่นชาร์จไร้สายและชุดชาร์จเร็ว เป็นสินค้าที่ทาง Apple มีวางจำหน่าย หากใครสนใจสามารถไปลองเล่นและหาซื้อมาใช้งานกันได้เลยที่ Studio7 ไปที่เดียวมีให้เลือกครบทุกอย่าง
สำหรับบทความนี้ฝากไว้เพียงเท่านี้ไว้เจอกันครั้งหน้าครับ
ขอบคุณสำหรับการติดตาม
สวัสดีครับ